สงครามโลก
สงครามโลกครั้งที่หนึ่ง
เป็นความขัดแย้งระดับโลกที่เกิดขึ้นตั้งแต่ พ.ศ. 2457 (ค.ศ. 1914) ถึง พ.ศ. 2461 (ค.ศ. 1918) ระหว่างฝ่ายสัมพันธมิตร และฝ่ายมหาอำนาจกลาง ซึ่งไม่เคยปรากฏสงครามขนาดใหญ่ที่มีทหารหรือสมรภูมิเกี่ยวข้องมากขนาดนี้มาก่อน
สาเหตุของสงครามโลกครั้งที่หนึ่งเกิดจากความขัดแย้งทางการเมืองของทวีปยุโรป โดยเป็นจุดเริ่มต้นของการสิ้นสุดของระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ของยุโรป การสิ้นสุดของจักรวรรดิออตโตมัน เป็นตัวเร่งปฏิกิริยาของการปฏิวัติรัสเซีย การพ่ายแพ้ของประเทศเยอรมนีในสงครามครั้งนี้ ส่งผลให้เกิดลัทธิชาตินิยมขึ้นในประเทศ และเป็นจุดเริ่มต้นของสงครามโลกครั้งที่สอง เมื่อ พ.ศ. 2482 (ค.ศ. 1939)
สาเหตุของสงคราม
1. ลัทธิชาตินิยม ( Nationalism )
ภายหลังสงครามฝรั่งเศส-ปรัสเซีย
ฝ่ายปรัสเซียมีผู้นำที่เข้มแข็งอย่างบิสมาร์กเป็นผู้วางแผนการรบอย่างชาญฉลาด
เอาชนะฝรั่งเศสได้ทำให้เยอรมันสามารถรวมตัวกันและสถาปนาจักรวรรดิเยอรมัน
เป็นมหาอำนาจที่สำคัญในยุโรป ฝรั่งเศสซึ่งเป็นฝ่ายแพ้สงคราม
ต้องยอมเสียแคว้นอัลซาซ-ลอแรนให้แก่เยอรมนี และเปลี่ยนการปกครองเป็นระบอบสาธารณรัฐ
เป็นผลให้อิตาลีรวมชาติได้เป็นผลสำเร็จ ทำให้เกิดลัทธิชาตินิยม
ซึ่งประชาชนส่วนใหญ่เป็นชาวสลาฟ
2. การแข่งขันกันแสวงหาอาณานิคม
เพื่อเป็นแหล่งวัตถุดิบที่จะนำมาป้อนโรงงานอุตสาหกรรม
การแข่งขันเป็นแบบการค้าเสรี เมื่อมีการแข่งขันสูงขึ้น
จึงเริ่มใช้กำลังทางทหารเข้ายึดครองดินแดนที่มีแหล่งทรัพยากรธรรมชาติและตั้งกำแพงภาษีให้สูงขึ้นเพื่อป้องกันมิให้สินค้าจากประเทศที่เป็นคู่แข่งมาตีตลาดในประเทศบริวารของตน
เป็นเครื่องมือวัดความยิ่งใหญ่ของประเทศ
3. มหาอำนาจแตกแยกเป็น 2 ฝ่าย
ฝ่ายหนึ่งประกอบด้วยเยอรมนี
รัสเซียและออสเตรีย-ฮังการี ได้ทำสนธิสัญญาพันธไมตรีไตรภาคี
ภายหลังรัสเซียได้ถอนตัวไปและอิตาลีเข้ามา กลุ่มนี้จึงประกอบด้วยเยอรมนี
ออสเตรีย-ฮังการี และอิตาลี
อีกฝ่ายหนึ่งฝรั่งเศสกับรัสเซีย
ได้ทำสนธิสัญญาพันธไมตรีฝรั่งเศส-รัสเซีย
ต่อมาอังกฤษได้เข้าร่วมเป็นพันธมิตรจึงเกิดเป็นกลุ่มประเทศความตกลงไตรภาคี
มหาอำนาจทั้ง 2 กลุ่ม
พยายามที่จะโน้มน้าวให้ประเทศอื่นๆเข้ามาร่วมเป็นพันธมิตรของตน
ต่างฝ่ายต่างก็ไม่ยินยอมกันแข่งกันสะสมกำลังอาวุธ เมื่อเกิดข้อขัดแย้งที่รุนแรง
จึงหาทางออกด้วยการทำสงคราม
4. ความไม่มั่นคงทางการเมืองในคาบสมุทรบอลข่าน
คาบสมุทรบอลข่านอยู่ในแถบทะเลเมดิเตอร์เรเนียนและทะเลดำ
ประกอบด้วยชุมชนที่มีความแตกต่างกันทางด้านภาษาและวัฒนธรรม ส่วนใหญ่เป็นชาวสลาฟ
กรีก เติร์ก เมื่อชนเผ่าสลาฟภายใต้การนำของแคว้นเซอร์เบีย
ได้เอกราชและแยกตัวออกจากจักรวรรดิออตโตมันเติร์ก ต่อมาเซอร์เบีย บัลแกเรีย
และกรีซได้รวมตัวกัน ทำสงครามกับตุรกีและสามารถยึดครองดินแดนของตุรกีในยุโรปได้
แต่หลังจากชนะสงครามก็เกิดความขัดแย้งกันเอง เซอร์เบียจึงกลายเป็นแคว้นที่มีอิทธิพลมากจนเป็นที่เกรงกลัวของจักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการี
ชนวนของสงครามเกิดขึ้นเมื่ออาร์ชดุ๊กฟรานซิส
เฟอร์ดินานด์รัชทายาทของออสเตรีย-ฮังการี ถูกลอบปลงพระชนม์ โดยฝีมือของกัฟริโล
ปรินซิปชาวบอสเนีย ออสเตรีย-ฮังการีจึงประกาศสงครามกับเซอร์เบีย โดยมีรัสเซียเข้ามาช่วยเซอร์เบีย
เยอรมนีจึงประกาศสงครามกับรัสเซีย ฝรั่งเศส และอังกฤษเข้าร่วมมือกับรัสเซีย
ในสงครามครั้งนี้ เรียกฝ่ายที่อยู่ข้างเซอร์เบีย
รัสเซีย ฝรั่งเศส และอังกฤษว่า ฝ่ายสัมพันธมิตร
และเรียกฝ่ายที่อยู่ข้างออสเตรีย-ฮังการีและเยอรมนีว่า ฝ่ายมหาอำนาจกลาง
(สำหรับอิตาลี ตอนแรกประกาศตนเป็นกลาง แต่ตอนหลังได้ไปเข้าข้างฝ่ายสัมพันธมิตร)
ประเทศพันธมิตรจึงได้จัดการประชุมสันติภาพ ณ พระราชวังแวร์ซาย
ประเทศฝรั่งเศส สหรัฐอเมริกาได้มีแนวความคิดที่จะสร้างองค์การระหว่างประเทศขึ้น
ให้มีหน้าที่ใช้กำลังอำนาจลงโทษประเทศที่ชอบรุกรานประเทศอื่น
ทุกประเทศจะได้มีเวลาในการพัฒนาประเทศของตน
โดยไม่ต้องสร้างกำลังทหารและอาวุธยุทโธปกรณ์ต่างๆอีกต่อไป
โดยทั่วไปมักถือว่าสงครามโลกครั้งที่สองเริ่มตั้งแต่การบุกครองโปแลนด์ของเยอรมนี ในวันที่ 1 กันยายน ค.ศ. 1939 อันนำไปสู่การประกาศสงครามต่อเยอรมนีของฝรั่งเศสและประเทศส่วนใหญ่ในจักรวรรดิอังกฤษและเครือจักรภพ ภายในหนึ่งปี เยอรมนีก็มีชัยเหนือยุโรปตะวันตกเกือบทั้งหมด คงเหลือเพียงสหราชอาณาจักรและเครือจักรภพที่ยังเป็นกำลังหลักที่ยังต่อกรกับเยอรมนีทั้งที่เกาะบริเตน แอฟริกาเหนือ และกลางแอตแลนติกอย่างยืดเยื้อ ในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 1941 ฝ่ายอักษะบุกครองสหภาพโซเวียต เปิดฉากเขตสงครามภาคพื้นดินที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ ฝ่ายจักรวรรดิญี่ปุ่นซึ่งกำลังทำสงครามกับจีนมาตั้งแต่ ค.ศ. 1937 ด้วยปรารถนาจะยึดครองเอเชียทั้งหมด จึงฉวยโอกาสโจมตีเพิร์ลฮาร์เบอร์และส่งทหารบุกครองหลายประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และขยายดินแดนออกไปอย่างกว้างขวางและรวดเร็ว
การรุกคืบของฝ่ายอักษะยุติลงใน ค.ศ. 1942 หลังความพ่ายแพ้ในญี่ปุ่นในยุทธนาวีมิดเวย์ และหลังความพ่ายแพ้ของฝ่ายอักษะยุโรปในอียิปต์และที่สตาลินกราด ใน ค.ศ. 1943 จากความปราชัยของเยอรมนีที่เคิสก์ในยุโรปตะวันออก การบุกครองอิตาลีของฝ่ายสัมพันธมิตร ตลอดจนถึงชัยชนะของสหรัฐอเมริกาในแปซิฟิกได้ทำลายการริเริ่มและส่งผลทำให้ฝ่ายอักษะล่าถอยทางยุทธศาสตร์ในทุกแนวรบ ใน ค.ศ. 1944 ฝ่ายสัมพันธมิตรเปิดแนวรบใหม่ในฝรั่งเศส เช่นเดียวกับสหภาพโซเวียตที่ยึดดินแดนคืนและบุกครองเยอรมนีและพันธมิตร
สงครามในยุโรปยุติลงหลังกองทัพแดงยึดกรุงเบอร์ลินได้ และการยอมจำนนอย่างไม่มีเงื่อนไขของเยอรมนีเมื่อวันที่ 8 สิงหาคม ค.ศ. 1945 แม้จะถูกโดดเดี่ยวและตกอยู่ในสภาพเสียเปรียบอย่างยิ่ง ญี่ปุ่นยังปฏิเสธที่จะยอมจำนน กระทั่งมีการทิ้งระเบิดนิวเคลียร์สองลูกถล่มญี่ปุ่น และการบุกครองแมนจูเรีย จึงได้นำไปสู่การยอมจำนนอย่างเป็นทางการของญี่ปุ่นเมื่อวันที่ 2 กันยายน ค.ศ. 1945
สงครามยุติลงด้วยชัยชนะของฝ่ายสัมพันธมิตร ผลของสงครามได้เปลี่ยนแปลงการวางแนวทางการเมืองและโครงสร้างสังคมของโลก สหประชาชาติถูกสถาปนาขึ้น เพื่อส่งเสริมความร่วมมือระหว่างประเทศและเพื่อป้องกันความขัดแย้งในอนาคต สหรัฐอเมริกากับสหภาพโซเวียตก้าวเป็นอภิมหาอำนาจของโลกอันเป็นคู่ปรปักษ์กัน นำไปสู่ความขัดแย้งบนเวทีแห่งสงครามเย็น ซึ่งได้ดำเนินต่อมาอีก 46 ปีหลังสงคราม ขณะเดียวกัน การยอมรับหลักการการกำหนดการปกครองด้วยตนเอง เร่งให้เกิดการเคลื่อนไหวเพื่อเรียกร้องเอกราชในทวีปเอเชียและทวีปแอฟริกา พร้อม ๆ กับที่หลายประเทศได้มุ่งหน้าฟื้นฟูเศรษฐกิจซึ่งอุตสาหกรรมได้รับความเสียหายระหว่างสงคราม และบูรณาการทางการเมืองได้เกิดขึ้นทั่วโลกในความพยายามที่จะรักษาเสถียรภาพความสัมพันธ์หลังสงคราม
สาเหตุการเกิดสงคราม
1. ความล้มเหลวขององค์การสันนิบาตชาติ
การทำหน้าที่รักษาสันติภาพของสันนิบาตชาติ ไม่ประสบผลสำเร็จ เพราะสันนิบาตไม่มีกองทหารและไม่มีอำนาจยับยั้งข้อพิพาทระหว่างประเทศได้
อีกทั้งสหรัฐอเมริกาไม่ได้เข้าร่วมเป็นสมาชิกจึงทำให้สันนิบาตชาติอ่อนแอ
2. การเติบโตของลัทธินิยมทางทหาร
มีผู้นำหลายประเทศได้สร้างความเข้มแข็งทางทหารและสะสมอาวุธร้ายแรงต่าง ๆ ได้แก่
เยอรมนี อิตาลี และญี่ปุ่น
เพื่อขยายอำนาจทางการเมืองโดยใช้กำลังเข้ายึดครองดินแดนต่าง ๆ
และใช้กองทัพปกป้องผลประโยชน์ของชาติตน
3. ความไม่เป็นธรรมของสนธิสัญญาสันติภาพ ได้แก่
สนธิสัญญาแวร์ซายส์และสัญญาสันติภาพฉบับอื่น ๆ ภายหลังเมื่อสงครามโลกครั้งที่ 1
สิ้นสุดลง ซึ่งเยอรมนีและชาติผู้แพ้สงครามถูกบังคับให้สงนามในสัญญาที่ตนเป็นฝ่ายเสียเปรียบ
เช่น การสูญเสียดินแดนอาณานิคมและจ่ายค่าปฏิกรรมสงครามจำนวนมหาศาล
จึงต้องการล้มเลิกเงื่อนไขข้อตกลงตามสัญญาฉบับนี้
4. การแข่งขันทางเศรษฐกิจ
ภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 อังกฤษและฝรั่งเศสยังคงเป็นประเทศที่มีความเข้มแข็งทางเศรษฐกิจ
แต่เยอรมนี
ซึ่งเป็นฝ่ายปราชัยในสงครามและต้องสูญเสียดินแดนอารานิคมให้แก่ชาติมหาอำนาจทั้งสองไปจนเกือบหมด
รวมทั้งอิตาลีและญี่ปุ่น ซึ่งมีอาณานิคมน้อยกว่า
จึงอยู่ในฐานะประเทศที่มีกำลังทางเศรษฐกิจไม่เข้มแข็ง
5. ความขัดแย้งในอุดมการณ์ทางการเมือง
แนวความคิดของผู้นำประเทศที่นิยมลัทธิทางทหารได้แก่ ฮิตเลอร์ ผู้นำลัทธินาซี (Nazism) ของเยอรมนี และมุสโสลินี
ผู้นำลัทธิฟาสต์ซิสม์ (Fascism) ของอิตาลี
ทั้งสองต่อต้านแนวความคิดเสรีนิยมและระบบการเมืองแบบรัฐสภาของชาติยุโรป
แต่ให้ความสำคัญกับพลังของลัทธิชาตินิยม ความเข้มแข็งทางทหาร
และอำนาจของผู้นำมากกว่า
ผลของสงครามยังก่อให้เกิด
1.การยึดครองประเทศที่แพ้สงคราม
2.การก่อตั้งองค์การสหประชาชาติ
3.ความตกต่ำของยุโรป
4.การเปลี่ยนแปลงค่านิยมและวัฒนธรรม
5.กำเนิดรัฐอิสราเอล เมื่อยิวที่หลงเหลือจากการกวาดล้างของนาซีรวมพลสู่ดินแดนซึ่งเชื่อว่าพระเจ้าประทานให้
คือปาเลสไตน์
6.สหรัฐกับสหภาพโซเวียตขึ้นเป็นมหาอำนาจ
นำสู่ภาวะสงครามเย็น ส่วนด้านญี่ปุ่นต้องอยู่ในปกครองของสหรัฐ นาน 6 ปี
สหประชาชาติ
เป็นองค์การระหว่างประเทศ ที่ก่อตั้งขึ้นอย่างเป็นทางการหลังสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่สอง
สหประชาชาติมีจุดประสงค์คือการนำทุกชาติทั่วโลกมาทำงานร่วมกันเพื่อสันติภาพและการพัฒนาโดยอยู่บนหลักพื้นฐานของความยุติธรรม
ศักดิ์ศรีของมนุษย์ และความกินดีอยู่ดีของทุกคนนอกจากนี้ยังให้โอกาสประเทศต่าง ๆ
สร้างดุลแห่งการพึ่งพาอาศัยกันและรักษาผลประโยชน์ชาติในกรณีที่เกิดปัญหาระหว่างประเทศไม่ว่าจะเป็นปัญหาด้านเศรษฐกิจ
สังคม วัฒนธรรม มนุษยธรรม ให้ความสำคัญต่อสิทธิมนุษยชน
และเป็นศูนย์กลางในการร่วมมือกันเพื่อเป้าหมายต่าง ๆ
วัตถุประสงค์ขององค์กร
1. ธำรงรักษาไว้ซึ่งสันติภาพและความมั่นคงของโลกโดยการร่วมมือกัน
2. เสริมสร้างความร่วมมือระหว่างประเทศ
เพื่อช่วยกันคลี่คลายและแก้ปัญหาทางด้านสังคม เศรษฐกิจ
วัฒนธรรมและสิทธิด้านมนุษยชน
3. เป็นศูยน์กลางพัฒนาความสัมพัน์อันดี
และประสานงานกันระหว่างประเทศสมาชิกเพื่อดำเนินงานบรรลุผลตามเป้าหมาย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น